วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

เพลงกับความรักครั้งแรก

มีหลายคนเคยบอกว่าความรักครั้งแรกนั้น

มักเป็นความรักที่ยากที่จะลืม ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม

สำหรับผู้เขียนคิดว่า ความรักครั้งแรกนั้นมักจบลง

ด้วยความเศร้าเสมอ ความรักครั้งแรกนั้นมักไม่ยั่งยืน

เนื่องจากส่วนใหญ่เกินขึ้นขณะอยู่ในวัยเรียน ตามที่มี

ศัพท์ฝรั่งเรียกความรักในวัยนี้ว่า "Puppy Love"

ซึ่งคำนี้เป็นคำนาม แปลว่า

"ความรักของหนุ่มสาวที่ไม่มั่นคง" ถึงแม้กระนั้นก็ยังมีเด็กหนุ่มสาวในยุคนี้

ให้ความสำคัญกับความรักประเภทนี้มาก และเหมือนกับว่าจะมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตที่สุด

ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะอายุจะพ้นผ่านเลยวัยรุ่นวัยฉกรรจ์มานานโขแล้ว

แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะให้ความรักมีอิทธิพลต่อตัวเรา

อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อน สถาบันครอบครัว มีบทบาทต่อชีวิตเรามากกว่าในปัจจุบัน

อาจเป็นเพราะสังคมในปัจจุบันเปลี่ยนไป ผู้หญิงที่เคยอยู่เหย้าเฝ้าเรือน เป็นแม่บ้านอย่างเดียวก็เล็งเห็นว่าคง

จะพาครอบครัวไปได้ไม่ถึงฝั่ง

ผู้เขียนไม่ได้ว่าความรักครั้งแรกนั้นไม่ดีหรอกนะครับ ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามสดใส ทำให้ชีวิตเราเต็มไป

ด้วยความหวัง

แต่อยากให้เรานำความรักที่ถึงแม้จะผิดหวังหรือสมหวังมาเป็นประสบการณ์ในการเลือกดำเนินชีวิต

อย่างชาญฉลาด

เพลงที่นำมาเสนอในหัวข้อนี้เป็นผลงานเพลงของ "คริสติน่า อากิล่า"

ซึ่งเป็นเพลงประกอบละคร "รักหลอกๆอย่าบอกใคร"

เนื้อเพลงก็ตรงกับความเป็นจริงที่พูดไว้ว่า

"ถ้าหากเวลา จะเป็นเหมือนดังพู่กัน และใจของคนนั้นดั่ง กระดาษที่เป็นสีขาว"

ใคร ๆ ก็เปรียบเด็กว่าเป็นเสมือนผ้าขาว ก็คงไม่ผิดแผกไปจากความรักในวัยเด็กมากเท่าไหร่

ที่มองทุกอย่างรอบตัวด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของคนอกหัก




อยากจะลืมใครสักคน เมื่อหยาดฝนพร่างพรมพลิ้วมา

สายน้ำที่ร่วงหล่น ปนเคล้าหยาดน้ำตา กลับไปคิดถึงคลา แรกที่เราพบกัน

มรสุมที่หาดสีทอง นำเราสองให้ปองรักกัน ฟ้าคำรามเธอกลัว ตัวของเราหนาวสั่น


สื่อดวงตาสัมพันธ์ อบอุ่นพลันสองเรา

ความรักเราเคยสดชื่น แล้วใยแปรเป็นอื่น เหลือแต่เพียงความขื่นขมระทมเมื่อลมพายุหอบฝนมา


เธอไม่ยอมบอกเหตูผลใดๆ...

ปล่อยฉันไว้กลางฝน มาบัดนี้ยามฟ้าสีหม่น ราวกับดลให้ตรมฤทัย รู้เป็นเพียงอากาศ


แต่ไม่อาจห้ามใจ อยากมีเธอชิดใกล้

แต่เธอคงไม่คืน







เจ้าของบล๊อคไม่ได้อกหักนะครับ เพียงแต่เวลาดูหนังละครหรือมิวสิควิดีโอ มักจะเห็นว่า

1. คนอกหักหรือทะเลาะกับแฟนชอบไปทะเล

2. ชอบเดินตากฝน

ไม่รู้ว่าทะเลกับฝน จะช่วยปลอบประโลมหัวใจที่กำลังเหี่ยวเฉาด้วยพิษรักได้อย่างไร

โดยส่วนตัวไม่คิดที่จะทำทั้งสองสิ่ง เพราะว่ายน้ำไม่เป็น จึงไม่ค่อยจะอยากสัมผัสกับน้ำทะเลเท่าไรนัก

จะเดินตากฝนเดี๋ยวกลับถึงบ้านแม่ก็บ่นว่าเดี๋ยวเป็นหวัดเอา เสียเงินเสียทองไปหาหมอซื้อหยูกยามากิน

หลังจากได้ฟังเพลงของเบิร์ดกับฮาร์ทอัลบัม "จากกันมานาน" จึงตอกย้ำความมั่นใจดังกล่าว

ระลึกวัยเยาว์

ตัวผมเองเกิดที่หาดใหญ่ คุณพ่อเป็นคนหาดใหญ่แต่คุณแม่เป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ อ.ชุมแสง


สมัยผมจบอนุบาลสองใหม่ ๆ คุณพ่อป่วยหนัก จนทำให้คุณแม่ผมต้องส่งผมไปอยู่กับคุณยายที่กรุงเทพ


และเรียนต่อระดับชั้นประถม1


ในครั้งนั้นคุณยายท่านยังเป็นคุณนายผู้ว่าฯ จำได้ว่าตอนนั้นคุณตาของผมรับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการ


จังหวัดหนองคาย เนื่องด้วยหน้าที่ของภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้คุณยายต้องออกสังคมบ่อย ๆ


และรู้จักผู้คนมากมาย ทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสังสรรค์กับคุณยายบ่อย แม้จะจำเรื่องราวไม่ได้มาก


แต่สิ่งที่ผมจำได้ดีคือบรรดาเพลงที่คุณยายมักจะฟังระหว่างนั่งรถไปหาเพื่อน


ตอนนั้นคุณยายจะมีเพื่อนสนิทอยู่ท่านนึงอยู่แถวฝั่งธน แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าบริเวณไหน


จำได้อย่างเดียวว่า เพื่อนของคุณยายท่านนั้นทำขนมไทยด้วยครับ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง


ผมหยิบมาชิมระหว่างคุณยายทำขนมเรียกว่าอิ่มแปร้เลย และเป็นเหตุให้ผมชอบรับประทาน ขนมหวาน


จำพวกเม็ดขนุน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันขนมไทยหาอร่อยทานยาก


โดยมากจะหวานจนเหมือนกับน้ำตาลทั้งขวดโหลหกใส่ บางเจ้าใส่เข้าปากแล้วรู้สึกถึงคาวไข่


จนแทบจะไม่อยากกลืน เพลงหนึ่งที่จำได้ตอนคุณยายฟังคือเพลง "ครวญ" ซึ่งปัจจุบันผู้เขียน


กลายเป็นคนที่ชอบฟังเพลงเก่า ถ้าจำไม่ผิดที่เคยฟังครั้งแรกจะเป็น คุณลุง "ชรินทร์ นันทนาคร"


ขับร้องไว้ แต่โดยส่วนตัว ชอบพี่ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย นำมาขับร้องใหม่ (ไม่ทำให้ดูเก่าแก่เกินไป)


ฟังแล้วเข้ากับบรรยากาศสบาย ๆ ของกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมร เมื่อประมาณ 25 ปีก่อน


ไม่ขอบอกนะว่าตอนนี้ผู้เขียนอายุกี่ปี ฟังตอนตะวันโพล้เพล้ มองไปข้างหน้าเห็นพื้นน้ำเป็นสีแดง


เหลือง ทอง (ชักไม่แน่ใจว่าตาตัวเองบอดสีหรือเปล่า) พร้อมกับคลื่นเล็ก ที่เกิดจากบรรดา


เรือข้ามฟากน้อยใหญ่ สมัยก่อนรถเรือก็ไม่พลุกพล่านถึงขนาดนี้ ดูแล้วเวิ้งว้างดี


เมื่ออยู่ริม ฝั่ง ชล ฉันยล ทุกยาม


เย็นพักในร่มเงา ไม้เอนฉัน มอง เห็นนก บินกลับรัง


ตะวันใกล้จะ ลับ แล้วเห็นเรือแจว อยู่ ริม ฝั่ง


เฝ้าแต่ครวญ แต่ครวญครวญหา น้ำตา หลั่ง


จึงร้องสั่ง อา ลัย


เฝ้าแต่ครวญ สั่งคำ แม้เรือ ลอยลำ ไป


พบคนที่เคยซึ้งใจ ขอเรือ นำเธอมาให้ที


ตะวันใกล้จม แผ่นน้ำ สายชลงาม ดังกำ มะหยี่


โอ้ว่าดาว ว่าดาวดวงนี้ แสงพลันริบหรี่คงริบหรี่ เช่น เรา


เฝ้าแต่ครวญ สั่งคำ แม้เรือ ลอยลำไปพบคนที่เคยซึ้งใจ


ขอเรือ นำเธอมาให้ ที ตะวันใกล้จมแผ่นน้ำ


สายชลงาม ดังกำมะหยี่โอ้ว่าดาว ว่าดาวดวงนี้


แสงพลันริบหรี่คงริบหรี่ เช่น เรา...






วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

ช้าง ช้าง และก็ช้าง

ไม่ได้พาบรรดา พังนาตาลี หรือ พังกำไล มาลงในบล๊อคนะครับ แต่เป็น กล้วยไม้ป่า สกุลช้าง

ซึ่งเพื่อนร่วมก๊วนซ์ของเค้ามีอยู่ 4 ชนิดด้วยกันคือ

ช้าง (Rhynchostylis gigantea) ไอยเรศหรือพวงมาลัย (Rhynchostylis retusa)
เขาแกะ (Rhynchostylis coelestis) และช้างฟิลิปปินส์ (Rhynchostylis violacea)

สำหรับ 3 ชนิดแรกมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง ส่วนช้างฟิลิปปินส์มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน

ประเทศฟิลิปปินส์

จากการสำรวจพบว่ากล้วยไม้สกุลช้างที่มีอยู่ในโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย

พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศในแถบอินโดจีน อินเดีย ศรีลังกา ภาคใต้ของหมู่เกาะในทะเลจีน

และหมู่เกาะอินเดียตะวันออก สำหรับในประเทศไทยพบว่ากล้วยไม้สกุลช้างมีกระจายพันธุ์อยู่ทุกภาค

ของประเทศ บางภาคอาจมีกล้วยไม้สกุลช้างชนิดหนึ่งแต่อาจไม่มีอีกชนิดหนึ่ง

กล้วยไม้ช้างเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากเนื่องจากเลี้ยงได้ง่าย ออกดอกทุกปี

การที่กล้วยไม้ชนิดนี้ได้ชื่อว่า “ช้าง” อาจมาจากสองกรณีคือ ลักษณะที่มีลำต้น ใบ ราก ช่อดอก และดอก

ใหญ่กว่ากล้วยไม้ชนิดอื่น อีกกรณีหนึ่งอาจเป็นเพราะดอกตูมของกล้วยไม้ชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายหัวช้างและมี

เดือยดอกคล้ายกับงวงช้าง

ช้างแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามลักษณะสีของดอก คือ ช้างกระ ช้างแดง และช้างเผือก

นี่คือเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งนำมาเสนอเป็นเกล็ดความรู้พอสังเขป

ต่อไปจะเป็นการอวดกล้วยไม้ที่บ้านผมแล้ว อิอิ

เริ่มด้วยช้างค่อมลำพูน



ในรูปนี้ยังละอ่อนอยู่เลยนะครับ แบบว่าเพิ่งออกดอกต้นแรกในชีวิต เลยถ่ายทุกวันเลย







ตามด้วยช้างกระ






ปิดท้ายด้วย ช้างเผือก (ไม่ใช่สถานที่ซึ่งโกโบรินัดกับอังศุมาลินนะครับ)





วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

แคทลียา ราชินีแห่งกล้วยไม้

แคทลียา มักเป็นสายพันธุ์กล้วยไม้แรก ๆ ที่นักเล่นกล้วยไม้พูดถึง อาจเป็นเพราะ ดอกที่มีขนาดใหญ่

มีกลิ่นหอม และสีสันฉูดฉาด แคทลียาจึงเป็นกล้วยไม้ที่ครองใจนักเล่นกล้วยไม้มาช้านาน

จากเขตร้อนแถบอเมริกากลาง ได้มีการนำสายพันธุ์เข้ามาสู่ประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5

โดยเฮนรี อาลาบาศเตอร์ โดยนำเข้ามาปลูกในพระราชอุทยานสราญรมย์ ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง

ปัจจุบันได้มีการผสมผสานข้ามสายพันธุ์จนผู้เขียนก็จนปัญญาจะไปจดจำเทือกเขาเหล่าก็

เอาเป็นว่าผู้เขียนขอนำเสนอ (อยากจะโชว์) กล้วยไม้ที่บ้าน ใครจะทำไม อิอิ

ไต้หวันควีน







ควีนสิริกิตติ์





มาเป็นทีม

















วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

เอื้องผาเวียง

เอื้องผาเวียง dendrobium albosanguineum Lindl.

เอื้องผาเวียง เป็นกล้วยไม้อิงอาศัยที่มีดอกขนาดใหญ่ดอกบานกว้างประมาณ 5 ซม.สีขาวกลีบปากด้านในเป็นสีม่วงแก่ ดอกบานทนนานหลายวัน..เสียดายที่ดอกไม่มีกลิ่นหอม ปลูกมา 2 ปีกว่าแล้วเพิ่งได้ยลโฉมก็ปีนี้เอง
มีแค่สามดอกพอเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนสู้ต่อไป





การกินอาหารตามลำดับการย่อย

หลายคนคงเริ่มสงสัยว่า การย่อยอาหารเกี่ยวข้องอะไรกับการกินอาหาร ในเมื่อใส่ปากเคี้ยว ๆ กลืน ๆ

ก็ลงท้องเหมือนกัน แต่หากเราเข้าในอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกของร่างกายเรา จะทำให้เรามีสุขภาพดี

กินไปก็ไม่เสียประโยชน์เปล่า ๆ

การกินอาหารตามลำดับการย่อย ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ กินอาหารที่ย่อยง่ายก่อน แล้วค่อยทาน

อาหารที่ย่อยยาก ตามลำดับ เพราะอาหารที่ย่อยง่ายจะลงไปสู่ลำไส้เล็กอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นกระเพาะ

ของเราจึงว่า เมื่อถึงเวลาที่เราต้องทานอาหารที่ย่อยยาก กระเพาะของเราก็จะมีพื้นที่เต็ม ๆ ร่างกายของเรา

จะไม่ต้องทำงานหนัก ส่งผลให้ร่างกายของเราสบาย ไม่อึดอัด

ลำดับอาหารจากย่อยง่ายไปสู่ยาก โดยทั่วไปเรียงดังนี้

ลำดับแรกเป็นจำพวกน้ำผักผลไม้ เนื่องจากเป็นการนำเอาน้ำจากผักผลไม้มาใช้ ทำให้อาหารดูดซึมเร็ว

และย่อยง่ายที่สุด จากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสเลือดได้เลย

ลำดับที่สอง คือ ผลไม้ เนื่องจากมีสารอาหาร มีเส้นใย และน้ำตาล ให้กำลังได้รวดเร็วและหมดเร็วเช่นกัน

การรับประทานผลไม้ที่ดี ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีรส เปรี้ยว มัน แต่น้อยก่อน

แล้วจึงตามด้วยผลไม้รสหวาน

ลำดับที่สาม ผักสด ผักลวก และผักต้ม เป็นอาหารที่ให้พลังงานยาวกว่าผลไม้ มีฤทธิ์ค่อนไปทางเย็น

จึงคุ้มครองเซลล์ของร่างกายได้ดี ช่วยซับความร้อนจากพลังงานเผาผลาญได้

ลำดับที่สี่ ข้าว ขนมปัง ซึ่งเป็นแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ที่ให้พลังงานยาวนานขึ้นต้องการการย่อยมากขึ้น

ลำดับที่ห้า กับข้าว เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ เป็นโปรตีนที่ต้องการเผาผลาญอย่างยิ่ง และให้พลังงานยาวนาน

ลำดับที่หก คือ ไขมัน น้ำมัน เนย นม อาหารทอดทั้งหลาย ต้องการการย่อยมากที่สุด

และให้พลังงานยาวนานที่สุด

ลำดับที่เจ็ด คือ น้ำซุปหรือน้ำแกง เป็นตัวปิดท้ายในการกิน ให้ร่างกายได้น้ำอย่างเพียงพอ

หลังจากการกินเสร็จนั้น เรายังไม่ควรดื่มน้ำในทันที เพราะน้ำมีฤทธิ์เย็น ก็จะทำให้กระเพาะอาหารเย็น

ในขณะที่กระเพาะอาหารต้องการความร้อนเพื่อมาย่อยอาหาร

จะเห็นได้ว่า การทานอาหารตามลำดับการย่อย โดยเข้าใจถึงระบบของร่างกายเรา

ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ช่วยคุ้มครองเซลล์ของร่างกายจากการกระแทก

ด้วยความร้อนที่เกิดจากการสันดาปทั้งหลาย และเป็นการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย และไม่ล้มป่วยบ่อย

เกลือเค็มแต่ดี

"เกลือ" เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายของทั้งคนและสัตว์

เนื่องจากมีส่วนประกอบของธาตุไอโอดีนซึ่งเป็นธาตุอาหารที่ช่วยป้องกันเราจากโรคคอพอกหรือโรคเอ๋อ

นอกจากนี้ร่างกายของเรายังต้องการเกลือเพื่อรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย

เพื่อให้เซลล์และเนื้อเยื่อทำงานเป็นปกติ

ในด้านของชีวิตประจำวันเกลือยังคงไว้ซึ่งความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว หลายพันปีก่อน

เกลือเป็นสิ่งที่หายากและเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่ง เราใช้เกลือในการปรุงรสชาติที่ทำให้อาหารเค็มมาตั้งแต่โบราณ

ในอดีตเราใช้เกลือเพื่อการถนอมอาหาร ทำให้เก็บไว้ได้นานขึ้นโดยนำเกลือแกงมาหมักกับผักหรือเนื้อสัตว์

เพราะเกลือแกงมีคุณสมบัติในการดูดน้ำและความชื้นทำให้เนื้อสัตว์และผักแห้งและสามารถเก็บไว้ได้นาน

แม้กระทั่งการทำมัมมี่ของอียิปต์โบราณยังต้องใช้เกลือจำนวนมากทับร่างของฟาโรห์ไว้เป็นเวลา 3-7 วัน

เนื้อจะแห้งติดกระดูกเลยทีเดียว (ผู้เขียนเคยดูสารคดีเกี่ยวกับมัมมี่)

ในสมัยโบราณเกลือจึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องการและหายากถึงขนาดมีการทำสงครามเพื่อแย่งชิงเจ้าผลึกเค็ม ๆ

นี่กันเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่นสงครามเกลือในสหรัฐอเมริกา พ่อค้าเกลือในแคริบเบียนจะเก็บเกลือไว้ในห้องใต้ดิน

ชาวจีน ชาวโรมัน ชาวฝรั่งเศส ชาวเวนิซ ตระกูลฮัพเบิร์ก และรัฐบาลอื่นๆ อีกมากมายได้เก็บภาษีเกลือเพื่อหาเงิน

ในการทำสงคราม มีการจ่ายเกลือเป็นค่าจ้างให้แก่ทหาร และบางครั้งก็ให้แก่คนงานด้วย

เกลือนั้นมีอยู่มากมายในโลกนี้จนอาจกล่าวว่า "ไม่มีที่ใดในโลกที่ไม่มีเกลือ" เกลือจากน้ำทะเล

เราเรียกว่า "เกลือสมุทร" เป็นเกลือที่ทำขึ้นด้วยวิธีการตากน้ำทะเลให้น้ำระเหยไป เหลือเป็นผลึกเกลือสีขาว

"เกลือสินเธาว์" เป็นเกลือที่เกิดจากดินเค็มที่น้ำชะล้างแล้วแห้งไป ปรากฏเป็นคราบเกลือติดอยู่บนผิวดิน

มีลักษณะขาวร่วน เกลือสินเธาว์มีความบริสุทธิกว่าเกลือสมุทร แต่เกลือสมุทรที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ดี

จะมีแร่ธาตุต่อผิวพรรณมากกว่าเกลือสินเธาว์

เกลืออีกชนิดหนึ่งคือเกลือเอปซอม เรียกอีกอย่างว่า "ดีเกลือฝรั่ง" พบทั่วไปในแหล่งที่มีเกลือแร่

หรือน้ำทะเลระเหยเป็นไอ เกลือชนิดนี้มักใช้ในเรื่องความงาม

  • เกลือกับการทำความสะอาดรูขุมขนแบบล้ำลึก โดยการเติมเกลือเอปซอม 1 ช้อนชา

ลงในน้ำอุ่นครึ่งแก้ว ใช้ขัดผิวเพื่อกำจัดสิวเสี้ยน ทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้ผิวพรรณสดชื่น

  • บำรุงผิวให้นุ่มนวลด้วยการใช้เกลือเอปซอม 1 กำมือนวดตัวขณะอาบน้ำ จะช่วยขัดผิว

และทำให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออก ทำให้ผิวพรรณนุ่มและสดชื่นขึ้น

  • ลดรอยคล้ำใต้ดวงตา ใช้เกลือสมุทร 2 ช้อนชาผสมน้ำอุ่นสองถ้วย แล้วใช้ผ้าหรือสำลีจุ่มในน้ำเกลือ

นำมาวางปิดบริเวณเปลือกตาทั้งสองข้างไว้สักครู่ รอยคล้ำจะจางลง

  • ช่วยฟอกฟันขาว บดเกลือสมุทร 1 ส่วนให้เป็นผงละเอียด ปั่นผสมกับเบคคิ้งโซดา 2 ส่วนให้เข้ากัน

แล้วนำไปถูฟัน จะทำให้ฟันขาว และยังช่วยป้องกันคราบหินปูนที่เกาะตามซอกฟันได้อีกด้วย

  • ลดความมันบนใบหน้า เริ่มด้วยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน แล้วบิดให้หมาด ๆมาวางปิดบนใบหน้า

ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อเปิดรูขุมขนให้กว้างขึ้น นำผ้าขนหนูออกแล้วใช้เกลือสินเธาว์หรือเกลือสมุทร

1 ช้อนชาผสมน้ำธรรมดาในขวดสเปรย์ขนาดเล็ก ฉีดพ่นน้ำเกลือให้ทั่วทั้งใบหน้า ใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้แห้ง

จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้กลับมีสุขภาพดีและสดชื่นขึ้น

  • ลบรอยผิวหน้งที่หยาบและเป็นรอยแตก นำเกลือสมุทร 1 ถ้วย เกลือเอปซอม 1 ถ้วย และน้ำมันพืช

1 ถ้วย ผสมให้เข้ากันดี ขัดถูบริเวณผิวหนังที่หยาบกร้าน เช่น รอยด้านที่เท้า หัวเข่า และข้อศอก

จะทำให้ผิวหนังที่หยาบกร้านอ่อนนุ่มขึ้น

  • ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้เส้นผม ผสมเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำสะอาด 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน

แล้วเทลงในขวดสเปรย์ ฉีดพรมเส้นผมในขณะจัดแต่งทรง แล้วปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ

เพียงเท่านี้ผมก็จะมีน้ำหนักตามธรรมชาติ

นอกจากสรรพคุณในด้านการเสริมความงามแล้ว เกลือยังใช้ในทางการบำบัดโรคอีกด้วย

  • บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ สารละลายเกลือเอปซอมช่วยดึงของเหลวออกจากร่างกาย

และลดอาการบวมของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในขณะที่ดึงของเหลวออกจากผิวก็ยังดึงเอากรดแล็กติกออกมาด้วย

เพราะกรดนี้ทำให้ร่างกายปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ วิธีทำคือเติมเกลือเอปซอม 1-2 ถ้วย ลงในอ่างน้ำร้อน

และแช่ตัวเพื่อผ่อนคลาย

  • ลดอาการเคล็ดขักยอกและฟกช้ำ เกลือเอปซอมช่วยลดการบวมที่เกิดจากอาการเคล็ดขัดยอก

และฟกช้ำ โดยเติมเกลือเอปซอม 2 ถ้วยลงในน้ำอุ่นแล้วแช่ส่วนที่เป็น

  • ไอเพราะเป็นหวัด แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ

จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ

ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว

  • มึนหัว สมองไม่แล่น สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง

หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้รวดเร็ว

เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอมึนหัว สมองไม่แล่น

สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ

รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้รวดเร็ว เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี

มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง

  • เร่งให้อาเจียน ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา

ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ

  • คัดจมูก จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจาง

หยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที

  • คันตามผิวหนัง ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์
  • โรคตาแดง โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเอง

ก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี)

จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว

ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง

แม้ว่าทุกวันนี้เกลือจะเป็นสิ่งที่หาง่าย ราคาถูก จนดูเหมือนจะด้อยค่า แต่เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่า

เราขาดเกลือไม่ได้จริง ๆ

-----------------------------------------------------

แหล่งข้อมูล

- การผลิตและการตลาดของเกลือในประเทศไทย โดยกองวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจ

การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

- เกลือ คุณสมบัติและการใช้ประโยชน์ เรียบเรียงโดย กุลรัตน์

- 1001 ตำรับยาใกล้ตัว โดยรีดเดอร์ส ไดเจสท์ (ประเทศไทย)

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ไหว้พระห้าวัด

ถึงแม้ตัวจั๊บเองเป็นคริสตชน แต่ที่บ้านก็นับถือพุทธ ทุกปีใหม่คุณแม่และพี่ ๆ จะไปไหว้พระกัน

แต่เนื่องจากวันที่ 1 ของทุกปี ทุกที่ก็แน่นขนัดไปด้วยฝูงชนอยู่แล้ว จึงตั้งกติกาใจกันไว้ว่า ทุกวันที่ 4

ของเดือนมกราคม เราจะไปไหว้พระกัน แรกเริ่มเดิมทีตั้งเป้าไว้ 9 วัด แต่นานไปสังขารเริ่มไม่เอื้ออำนวย

ปัจจุบันเหลือแค่ 5 วัน คาดว่าในอนาคตอันใกล้อาจจะเหลือแค่ 3 วัดหรือไม่ก็นอนไหว้อยู่ที่บ้าน

วัดแรกที่ไปคือวัดหงส์ประดิษฐาราม หรือที่เรียกกันติดปากว่าวัดคอหงส์ อาจจะเป็นเพราะตั้งอยู่บริเวณ

ที่เรียกว่า สามแยกคอหงส์ หากมองไปจะเห็นเขาคอหงส์ชัดเจนมาก


ศาลจตุคามรามเทพ





เทวดาเฝ้าประตู (คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะตอนไปศาลเจ้าจีนก็จะมีรูปปั้นสองฝั่งซ้ายขวาเช่นกัน)



ภายในศาล

จริง ๆ แล้วแม่กับพี่ ๆ ไปไหว้พระที่อยู่ในโบสถ์ครับ แต่เนื่องจากผมไม่ได้ไหว้ จึงเดินสำรวจรอบ ๆ วัด

วัดที่สองคือวัดศรีสว่างวงศ์หรือวัดเกาะเสือ



พระประธานภายในอุโบสถ์


ภายจิตรกรรมฝาหนังภายใน เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าสิบชาติ



รูปปั้นแม่ธรณีบีบมวยผมภายในวัด

วัดที่สาม (น่าจะเรียกว่าศาลเจ้ามากกว่า) คือ ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง ภายในบริเวณรั้ว มีทั้งศาลเจ้าจีน

และลานกว้างซึ่งมีตำหนักของพระพรหมและพระพิฆเนศวร



ถ่ายบริเวณด้านหน้าศาลเจ้า



ลานด้านหน้ามูลนิธิ


ศาลพระพรหม


ศาลพระพิฆเนศวร

วัดที่สี่คือวัดมงคลเทพวรารามหรือวัดปากน้ำหาดใหญ่ วัดนี้ก่อตั้งโดยพระอาจารย์แอบ ซึ่งเป็นศิษย์

ของหลวงพ่อสดแห่งวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เดินเข้าไปก็ต้องเขย่งเป็นกระต่ายขาเดียว อันเนื่องมาจาก

กับระเบิดนานาชนิด เช่น ระเบิดอุนจิสุนัข ระเบิดอุนจิแมว ตบท้ายด้วยระเบิดอุนจิไก่ ด้วยความที่ต่างคน

ต่างสาละวนกับการหลบหลีกกับดักอยู่ พี่สาวผมคงจะตาลายกระมัง บอกว่า ข้างหน้านี้ไม่ต้องหลบหรอก

มันเป็นผลไม้ที่ตกลงมาจากต้น ผมมองไปก็เห็นว่ามันเป็นอุนจิสุนัขแห้งชัด ๆ เลยเปรยกับพี่สาวว่า

"เจ๊ก็ลองหยิบมากินดูสิ" สร้างความเฮฮากันไปได้ชั่วขณะหนึ่ง (ดีที่ว่าพี่สาวไม่หยิบมากินจริง ๆ)



ปีที่แล้วพี่สาวจากระยองมาแล้วโยนเหรียญลงในบาตรได้ ปรากฏว่าปีนั้นโชคดีตลอดปีเลย

ปีนี้ผมลองโยนบ้าง โยนไป 20 กว่าครั้งถึงจะเข้า หึหึ



พระยืนบริเวณหลังวัดครับ
ที่สุดท้ายคือศาลเจ้าพ่อเสือครับ ตั้งอยู่บริเวณถนนนิพัทธ์อุทิศสอง ใกล้ ๆ ปั้มเอสโซ่



บรรยากาศตรงกันข้ามของศาลเจ้า



ด้านหน้า


ภายในศาลเจ้า



ขอสักรูปก็ยังดี คุคุ
อากาศร้อนมาก ปิดท้ายทริปนี้ด้วยไอศรีมสเวนเซ่น ผมขอแบบเป็น scoop พร้อม topping เป็น
cherry 4 ลูก





ปิดท้ายด้วยรูปผู้เขียนอีก อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

ของขวัญปีใหม่แจกญาติผู้ใหญ่



ทุก ๆ ปี จะมีคุณอามาสวัสดีปีใหม่คุณพ่อของผม เนื่องจากท่านเป็นพี่คนโต จึงมีน้อง ๆ มากันเยอะ

ส่วนพวกผมซึ่งเป็นลูกก็อยากจะมีของที่ระลึกแจกอา ๆ สักเล็กน้อย ปีนี้มีอะไรให้ทำเยอะแยะ

กว่าจะนึกได้ก็จวนเจียนจะปีใหม่แล้ว ไม่มีไอเดียอะไรเลย เล็งเห็นกระเป๋าสานโอท๊อปใบละ 169 บาท

ลายสวยและไม่ซ้ำแบบใคร แถมใช้งานได้จริง แถมน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงอีกอย่างละกล่อง

รวมแล้วเบ็ดเสร็จประมาณ 230 บาทต่อ 1 ท่าน
พร้อมกับกล่าวว่า "ขอให้ชีวิตมีแต่ความหวานตลอดปี 2010"
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านด้วยครับผม